ทำไมไม่มีบริษัทเทคโนโลยีในไทย? หรือแม้แต่สตาร์ทอัพที่พัฒนาเท่าที่ควรจนกลายเป็น “ยูนิคอร์น” ​​?

ขั้นตอนหนึ่งที่น่าสนใจใน Standard Economic Forum 2025 คือเวที “Forging National Champions: การสร้างบริษัทแชมป์ประเทศไทย” เปิดเกมธุรกิจใหม่กับ National VC โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ Jeep Kline ผู้ก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการ Raisewell Ventures และคณะวิชาชีพ UC Berkeley และศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ไทย

ร่วมกันไขปริศนาว่า “ปริศนาที่หายไป” ของระบบนิเวศเทคโนโลยีไทยคืออะไร และเราจะจัดทำแผนเพื่อทำให้ “แชมป์แห่งชาติ” เป็นจริงได้อย่างไร

ประเทศไทยยังขาด 5 เสาหลัก – ต้องคิดแบบ “Transnational VC”

Jeep Kline คาดการณ์ในตอนแรกว่าระบบนิเวศของการร่วมลงทุน (VC) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย จะมีอายุเพียง 10 ปี เทียบกับ 40-50 ปีใน Silicon Valley ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งศตวรรษในการก้าวกระโดด ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างเสาหลักสำคัญ 5 ประการร่วมกัน

  • ทุนเอกชนที่มีความเสี่ยงสูง (ทุนร่วมลงทุน) เช่น VC และทุนระยะยาว (ทุนระยะยาว) ที่ลงทุนในปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจมาอย่างน้อย 7-10 ปี
  • สถาบันการศึกษาที่คณาจารย์และนักศึกษาสามารถนำความรู้และเทคโนโลยีมาสร้างธุรกิจได้จริง
  • ภาคเอกชน (องค์กร) : บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการช่องทางสนับสนุนสตาร์ทอัพหรือทำหน้าที่เป็นทางออก (ตลาดทางออก)
  • ผู้ประกอบการ: ผู้ก่อตั้งที่มีความสามารถในการสร้างและขยายบริษัทเทคโนโลยี
  • นโยบาย การสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการบ่มเพาะ และกลไกตลาดทุนที่เอื้ออำนวย

อย่างไรก็ตาม Jeep Kline เน้นย้ำว่า 5 เสาหลักนี้ยังไม่เพียงพอ “เราจึงสามารถสร้าง VC ระดับชาติในไทยได้ อยู่คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องขายว่า เรามี 700 ล้านคน (ในอาเซียน)”

สิ่งที่ประเทศไทยต้องสร้างคือแนวคิด “VC ข้ามชาติ” ที่ต้องเติมเต็ม 3 ภารกิจ ได้แก่ 1) ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว 2) เป็นผู้นำทางความคิดที่มีการเชื่อมโยงในต่างประเทศ และ 3) ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานทุนวิจัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย

“สิ่งที่เราขาดไปคือตลาดทางออกที่ไทยกำลังสร้าง การสนับสนุนทางการเงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่คุณต้องเข้าไปให้ความรู้ด้วย”

ปริศนาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องมีคือ “กรอบความคิดระดับโลก” ตั้งแต่วันแรก “หากปราศจากสิ่งนี้ การจัดวางผลิตภัณฑ์และการจ้างงานจะไม่ไปถึงระดับโลก”

ตลท.ชี้ 3 อุปสรรคใหญ่ รัฐบาลกลัวขาดทุน – กองทุนวิจัยกระจัดกระจาย – SMEs 2 บัญชี

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ยอมรับว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีใหม่หรือเทคโนโลยีล้ำลึกที่จดทะเบียนในตลาดทุนไทยมีน้อยมาก สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก

“เราไม่เคยลงทุนจริงจังในด้านนี้เลย แนวคิดของหน่วยงานภาครัฐคือลงทุนแล้วขาดทุนไม่ได้ ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติของการลงทุนใน VC โดยสิ้นเชิง สตาร์ทอัพมีโอกาสประสบความสำเร็จเพียง 5% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่งผลให้การตัดสินใจของภาครัฐไม่ส่งผลกระทบมากเท่าที่ควร” ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว

ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญอีก 2 ประการที่ทำให้การเติบโตชะลอตัว ได้แก่

  • ทุนวิจัยแบบกระจายตัว “ปัจจุบันเรามีหน่วยงานให้ทุนและวิจัยต่างๆ มากมาย ทั้ง NSTDA, NIA, DEPA และ TED Fund ซึ่งรวมกันมีเงินหลายหมื่นล้านบาท ถ้าเราสามารถร่วมมือและร่วมลงทุนกับภาคเอกชนได้ ก็จะช่วยให้บริษัทใหม่ๆ มีโอกาสก่อตั้งตัวเองมากขึ้น”
  • ปัญหาของ SMEs ที่ต้องมีสองบัญชีถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบและบรรลุการเติบโตที่ยั่งยืน

พิมพ์เขียวของ ตลท. สำหรับ “เศรษฐกิจใหม่” – การจัดตั้ง “กองทุน PE Trust”

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังดำเนินการในหลายมิติเพื่อสร้าง “รันเวย์” ให้กับธุรกิจแห่งอนาคต

  • การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง: ตลาดหลักทรัพย์กำลังพิจารณาจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อลงทุนในบริษัทแยก (Optco) ของมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้วใช้บริษัทโฮลดิ้งเพื่อระดมทุนในตลาดทุน การสร้างบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงจากการวิจัย เช่น เทคโนโลยีด้านสุขภาพหรือเทคโนโลยีอาหาร
  • จัดตั้งกองทุนหุ้นเอกชน (PE) กำลังพิจารณาจัดตั้งกองทุน PE Trust Fund ซึ่งจะเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การสนับสนุนบริษัทในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น คลัสเตอร์ด้านสุขภาพ ดิจิทัล โภชนาการ และการท่องเที่ยว
  • ปลดล็อคกฎเกณฑ์ เร่งการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อให้ธุรกิจใหม่ลงทะเบียนได้ง่ายขึ้น

“แพทย์และวิศวกรไทยเก่งเรื่องการวิจัยมาก แต่ทำธุรกิจไม่เป็น คำถามคือ เมื่อไรงานวิจัยจะเปลี่ยนเป็นธุรกิจได้? การทำบริษัทให้แข็งแกร่งและใหญ่ได้ทุกวันนี้ต้องมีพันธมิตรและรัฐบาลต้องเปลี่ยนบทบาทจากหน่วยงานกำกับดูแลเป็นผู้สนับสนุน (อำนวยความสะดวก) และออกกฎเกณฑ์ต่างๆ”

โดยสรุปด้วยความหวังว่าหากร่วมมือขจัดอุปสรรคเหล่านี้ได้ “ภายใน 1-2 ปี เราจะได้เห็นเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นในตลาดทุนไทย”