ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่าบริษัทเริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 28 ปีที่แล้วโดยหวังว่าจะสร้างฐานที่แข็งแกร่งในประเทศไทย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แข็งแกร่งและมีความต้องการเทคโนโลยีชั้นสูง หมายความว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีในอาเซียนและเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางระดับโลกในอนาคต
ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นผู้เล่นหลักในตลาดการลงทุน และทุกภาคธุรกิจต้องอาศัยการสนับสนุนทางเทคโนโลยีในการทำงานและเติบโตแบบก้าวกระโดด
นโยบายของรัฐบาล เช่น Cloud First Policy แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก และประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Huawei บริษัทมองว่าประเทศไทยเป็นมากกว่าสถานที่พัฒนาเทคโนโลยี แต่ก็เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับจีนด้วย ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันยาวนานและจะยังคงขยายต่อไปผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
คำถาม กำแพงภาษี 19% มีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร?
นายนริศมองว่าสงครามภาษีและสงครามเทคโนโลยีเป็นเกมระยะยาวที่สามารถปรับเปลี่ยนและเจรจาได้ตลอดเวลา ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน เชื่อว่าไทยยังมีข้อได้เปรียบ นอกจากนี้ทีมเจรจาของรัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่ในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากประเทศไทย
คุณศุภชัยมองว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ประโยชน์จากกำแพงภาษี เนื่องจากทางกลุ่มเคยนำเข้าวัตถุดิบจากอเมริกาใต้และยุโรปมาก่อน การนำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐอเมริกาจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มบริษัทในระยะยาว
สิ่งที่น่าสนใจคือการพัฒนาภาคเกษตรกรรมของไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวโพดควรเปลี่ยนจากการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมมาเป็นการเพาะปลูกแบบอุตสาหกรรม รวมทั้งเกษตรกรที่ควรปลูกผลไม้ต่างๆ และพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะปลูกด้วย และร่วมกันจัดตั้งสหกรณ์เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกันในการเพาะปลูก
เมื่อพูดถึงปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทาน คุณชวพลมองว่าประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับกลุ่มธุรกิจอีกด้วย เนื่องจากจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานกลายเป็นภาคเศรษฐกิจ และโลจิสติกส์จะต้องสร้างความแตกต่างในการให้บริการแก่กลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น ภาคเกษตรกรรม เป็นต้น การใช้เทคโนโลยีและ AI มาสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจทำให้การเกษตรมีมาตรฐานมากขึ้น สิ่งนี้นำไปสู่ภาคเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Huawei มุ่งเน้นไปที่การลงทุนมากถึง 25% ของงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาในแต่ละปี
สิ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยแก้ปัญหาช่องว่างทักษะแรงงาน นั่นคือการกำหนดนโยบายในการดึงดูดแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ซึ่งไม่เพียงเป็นทางลัดในการแก้ปัญหานี้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ความรู้แก่แรงงานไทยได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้แรงงานไทยได้พัฒนาทักษะและสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศในอนาคต นอกจากนี้ การลงทุนในภาคสุขภาพและการแพทย์ในประเทศไทยทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับแรงงานต่างชาติ