เวียดนาม ก็แค่ปากซอย บ่อทอง “เซ็นทรัล”


การตลาด – เปิดโรดแมป ซีอาร์ซี เซ็นทรัล รีเทล เตรียมบุกตลาดเวียดนามหลังเปิดดำเนินการมากว่า 10 ปี เปิดแผนเสริมแกร่งลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท พร้อมเร่งขยายเครือข่ายทุกเซ็กเมนต์ค้าปลีกเต็มรูปแบบ

กลุ่ม Central Retail หรือ CRC (CRC) ลงทุนในเวียดนามเมื่อประมาณ 11 ปีที่แล้วจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เวลาผ่านไป 11 ปี บริษัทก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นเมืองหลวงการค้าปลีกต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม


“เซ็นทรัล รีเทล มองว่าเวียดนามเป็นตลาดสำคัญเนื่องจากมีศักยภาพในหลายด้าน และบันทึกการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ดังนั้นเราจึงยังคงขยายธุรกิจในเวียดนามอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอด 11 ปีที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นในฐานะผู้จัดจำหน่ายแบรนด์แฟชั่นที่มีร้านค้าเพียงไม่กี่แห่ง” นายยัน โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว ของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา CRC ลงทุนในประเทศเวียดนามไปแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท

ถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว

ปัจจุบัน Central Retail Vietnam มีร้านค้ามากกว่า 340 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,200,000 ตารางเมตร ใน 40 จังหวัด คิดเป็น 85% ของ GDP ของเวียดนาม และผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 300 ล้านบาท ในปี 2557 มาเป็นปี 2564 ด้วยยอดขาย 38,592 ล้านบาท จากลูกค้ากว่า 66 ล้านคนในปีที่แล้ว

ล่าสุดในปี 2565 ยอดขายในเวียดนามคิดเป็น 25% ของยอดขายรวมของ Central Retail ส่งผลให้ Central Retail กลายเป็นผู้ค้าปลีกต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม อันดับ 1 ในไฮเปอร์มาร์เก็ต และอันดับ 2 ในศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์


CRC วางแผนที่จะขยายธุรกิจและตลาดใหม่ในเวียดนามนับจากนี้เป็นต้นไป ได้จัดทำโรดแมปเชิงรุกด้วยงบลงทุนสูงถึง 50,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2566-2570) ตั้งเป้าสร้างรายได้ 150,000 ล้านบาท พร้อมขยายเครือข่าย เครือข่ายสาขาเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 600 สาขาใน 57 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ
ปัจจุบัน Central Retail Vietnam มีส่วนแบ่งการตลาด 62% ในกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต และส่วนแบ่งตลาดรวม 35% ในกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ต แต่เมื่อทั้งสามอย่างมารวมกัน ได้แก่ ไฮเปอร์มาร์เก็ตซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ CRC Vietnam มีส่วนแบ่งตลาด 20%

ถือว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว

ทำไม CRC ถึงกล้าลงทุนขนาดนี้? ขณะที่ปักหมุดอยู่ที่เวียดนาม เหตุผลง่ายๆ ก็คือ เวียดนามเป็นตลาดที่ใหญ่และน่าสนใจ มีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน โดยมีปัจจัยดึงดูดหลักคือ:


1.เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมากกว่าประเทศไทยเกือบสองเท่า ปีที่แล้ว GDP ของไทยโต 3.2% แต่เวียดนามโตถึง 7% ปี 2566 คาดว่า GDP ของไทยจะอยู่ที่ 3.5% โดยเวียดนามหนีออกจากไทยจะเติบโตเป็น 6.7% และปีหน้าไทยคาดว่าจะมีการเติบโตของ GDP ที่มั่นคงที่ 3.5% ในขณะที่เวียดนามจะบันทึกการเติบโตสูงถึง 7.2% .

2.หากมองในเรื่องธุรกิจค้าปลีก โมเดิร์นเทรดของเวียดนามยังมีช่องทางการเติบโตอีกมาก เพราะทุกวันนี้สัดส่วนของโมเดิร์นเทรดยังมีน้อยมาก ภายใน พ.ศ. 2559 ส่วนแบ่งการค้าสมัยใหม่ในเวียดนามมีเพียง 8% ในขณะที่การค้าแบบดั้งเดิมยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ 92% แต่เมื่อปีที่แล้ว ปี 2565 ส่วนแบ่งของการค้าสมัยใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 11% โดยการค้าแบบดั้งเดิมยังคงอยู่ที่ 89% และคาดว่าส่วนแบ่งของการค้าสมัยใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็น 13% ภายในปี 2570 ในขณะที่ส่วนแบ่งของการค้าแบบดั้งเดิมอยู่ที่ 87%

นี่คือโอกาสทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของ CRC มีอีกมากมาย

3. การขยายตัวของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็วและเพิ่มมากขึ้น ในปี 2019 การขยายตัวของเมืองมีเพียง 34% แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 41% ในปีนี้ หน้าปี 2024 และจะเป็น 52% ในปี 2029

มันหมายถึงกำลังซื้อ และความต้องการของตลาดก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน


เวียดนามเป็นตลาดที่กำลังเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจและเชิงพาณิชย์ ประชากรมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น จากการขยายตัวของเมือง การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ประชากรประกอบด้วยวัยรุ่นและคนวัยทำงานจำนวนมากซึ่งเป็นฐานการใช้จ่ายที่สำคัญ

นายโอลิเวียร์ แลงเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม กล่าวว่า การเติบโตโดยรวมของเวียดนามมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนและไม่แน่นอน ในปีนี้ GDP ของเวียดนามคาดว่าจะเติบโต 6.7% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเมืองทำให้การค้าสมัยใหม่ขยายตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นดังนั้นจึงเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ Central Retail ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

CRC ยังคงชูธงใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มอาหาร (FOOD) ซึ่งบริษัทในกลุ่มนี้ได้แก่ GO! ได้ยิน. ไฮเปอร์มาร์เก็ต ขณะนี้มีทั้งหมด 38 สาขา ท็อปส์ มาร์เก็ต เปิดแล้วทั้งหมด 10 สาขา มินิโก! มินิโก้ซุปเปอร์มาร์เก็ต เปิดรวม 3 สาขา และลานชีมาร์ท เปิดรวม 24 สาขา


2. ศูนย์การค้า GO! เป็นของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะพัฒนาพื้นที่โครงการเอง เปิดร้านค้าทั้งหมด 39 แห่ง และ 3 กลุ่มที่ไม่ใช่อาหารหรือไม่ใช่อาหาร ได้แก่ เหงียนคิม ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซูเปอร์สปอร์ต ร้านกีฬา คูโบ และโรบินส์
แผนการลงทุนปี 2566 ยังคงดำเนินต่อไป ด้วยงบลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท ในปี 2566 เพื่อขยายอาณาจักรไปทั่วเวียดนาม แผนธุรกิจมีดังนี้

1. สร้างการเติบโตของร้านขายของชำทั่วประเทศ: เสริมสร้างตำแหน่งผู้นำในฐานะไฮเปอร์มาร์เก็ตอันดับ 1 ด้วยการรีแบรนด์และปรับปรุง GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มีสาขาทั้งหมด 10 สาขา พร้อมการขยาย Tops Market และ Mini go! ขยายสาขา 8-10 แห่งเพื่อรองรับผู้บริโภคอย่างเต็มที่ มองหาที่ตั้งใหม่อย่างน้อย 15-20 แห่ง และเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มร้านขายของชำทั้งสดและที่ไม่ใช่อาหารเพื่อดึงดูดปริมาณลูกค้ารายใหม่ให้มากขึ้น

2. เสริมแกร่งธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : ปรับปรุงศูนย์การค้า GO! รวม 10 สาขา น่าจะทันสมัยกว่านี้ และกำลังเตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมในอนาคต นอกจากนี้ ด้วยร้านค้าที่เป็นศูนย์กลางเราจึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์


3. อัปเกรดและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ Nguyen Kim: ปรับปรุงร้าน Nguyen Kim 10-12 แห่ง และขยายร้าน Nguyen Kim อีก 3-5 แห่ง ทั้งแบบสแตนด์อโลน และขยายเป็นห้างสรรพสินค้า GO! เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่

4. พัฒนาแพลตฟอร์มลอยัลตี้เพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการมากกว่า 66 ล้านคน: เพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มลอยัลตี้ เพื่อทำความเข้าใจการทำงานภายในของลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของ The 1 เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดีขึ้น

นายยอนให้ความเห็นว่าที่เวียดนามการลงทุนทุกอย่างดี แต่จะมีอุปสรรคประการหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเพียงอย่างเดียวนั่นคือการหาสถานที่ ออกแบบไว้แล้ว การขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะที่เวียดนามใช้เวลานานกว่าเมืองไทยมาก แต่ละโครงการใช้เวลามากกว่าการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร

นายยน กล่าวเพิ่มเติมว่า Central Retail ไม่เพียงสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจเท่านั้น แต่เรายังต้องการยกระดับชุมชนและสังคมและทำให้คนเวียดนามมีคุณภาพชีวิตที่ดีทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ ช่วยเหลือเกษตรกรในชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 40% หรือลงทุนกว่า 10 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงเรียนให้เด็กๆ ชาวเวียดนาม และเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนและยืนหยัดเคียงข้างชาวเวียดนามในช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 โดยมียอดบริจาครวมกว่า 20 ล้านบาท


ขณะเดียวกันเราก็เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศด้วย ทั้งธุรกิจ การค้า และการลงทุน โดยจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น งาน Vietnam Week in Thailand ที่จัดขึ้นต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปี และการจัดจับคู่ธุรกิจภายในงานส่งเสริมการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างสองประเทศที่สนับสนุน รวมถึงชื่อประกาศเจตนารมณ์ของสมาคมค้าปลีกไทยและเวียดนาม นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาศูนย์การค้า GO! มีสาขาทั้งหมด 20 แห่งกำลังติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในศูนย์การค้า และลดการใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่จะเป็น Green & Sustainable Retail ซึ่งเป็นองค์กรค้าปลีกต้นแบบด้านความยั่งยืนโดยตั้งเป้าสร้างศูนย์สุทธิในปี 2593 ตามเป้าหมายที่ Central Retail กำหนด

“ด้วยความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับสังคมและชุมชน ทำให้ธุรกิจค้าปลีกกลางในเวียดนามเติบโตอย่างยั่งยืนและได้รับการยอมรับจากคนเวียดนามและได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเวียดนามมาโดยตลอด สิ่งที่เราจะทำเพื่อสังคมและชาวเวียดนามต่อไป เพราะความตั้งใจของเราคือการสร้างความเจริญรุ่งเรืองและการเติบโตที่ยั่งยืนในทุกที่ที่เราทำธุรกิจ” นายหยาน กล่าว

ในบริบทนี้มีแผนเจาะตลาดเวียดนามเป็นส่วนหนึ่ง โดยพิจารณาจากกิจกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2566 – 2570) ภายใต้กรอบกลยุทธ์ CRC Retailligence นำ 5 กลุ่มธุรกิจมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป พร้อมรักษางบลงทุนโดยรวมกว่า 150,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการขยายพอร์ตธุรกิจให้เติบโตในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี

รายได้รวมคาดว่าจะเติบโต 2.5 เท่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 2.5 เท่า และ EBITDA 3.5 เท่า ส่วนแบ่งรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะแบ่งเป็นไทย 65% เวียดนาม 30% อิตาลี 5% และเป้าหมายรายได้ Omni-Channel อยู่ที่ 25%
ปีนี้ปีแรกตามแผน (2566) วางงบลงทุนรวมกว่า 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในไทย 75% และต่างประเทศ 25% โดยเฉพาะเวียดนาม โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้รวม 15% เพิ่มขึ้นหรือมีรายได้ รวมมูลค่ากว่า 270,000 ล้านบาท โดย 2,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในระบบไอทีต่างๆ